ตอนที่
๒ คุณหลวงผู้มีเมตตากรุณาธิคุณ
แฮชแท็ก ; #คฮคุณหลวงอัษฎา
X คำเตือน X
ฟิคเรื่องนี้มีเนื้อหาอิงตามประวัติศาสตร์ไทยยุคสมัยในตอนปลายของรัชกาลที่
๕ ถึง
รัชกาลที่ ๖ บางส่วนมีการปรับแก้เสริมแต่งขึ้นตามใจผู้เขียน
กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่านนะก๊ะ ; )
X คำเตือน X
คุณหลวงกำลังยิ้มแก้มปริ…
มันเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้อัศวินหลงใหลถึงจะทำให้รู้สึกกระดากอายขึ้นมานิดหน่อย
ชุดนักเรียนโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบของคุณหลวงที่สวมใส่อยู่นั้นจากที่พอดีร่างอยู่แล้วเริ่มคับขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ไม่น่าเชื่อว่าอัศวินจะใส่ชุดของคุณหลวงอัษฎาเมื่อ ๘ ปีก่อนได้พอดิบพอดี
แม้อัศวินจะคิดว่าเสื้อมันรัดมากไปหน่อยก็ตามแต่คุณหลวงกลับบอกว่าแบบนี้นี่แหละกำลังตามสมัยนิยม
คุณหลวงนั่งไขว่ห้างเท้าคางอยู่บนเก้าอี้โซฟาตัวเขื่อง
สายตาจับจ้องไปที่อัศวินซึ่งอยู่ในชุดนักเรียนพระตำหนักของตน เสื้อแขนยาวสีขาวกลัดกระดุมเงินกับกางเกงขาสั้นยาวครึ่งเข่าสีกรมท่าทำให้อัศวินดูเท่ไม่หยอก
แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้สึกเช่นนั้นเลยสักนิด
“คุณหลวง….”
อัศวินครางเมื่อเห็นว่าอัษฎาไม่สามารถถอดถอนสายตาออกไปจากร่างของตนได้
“ไม่อยากใส่ชุดของเราหรืออัศวิน?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ เพียงแต่..”
ชายหนุ่มก้มหน้า
“แต่อะไร บอกเรา”
“คือ…” กระผมเกรงใจเหลือเกินขอรับคุณหลวง
“ถ้าพ่อวินไม่พูดเราจะถือเสียว่าพ่อวินยอมรับความหวังดีจากเรา”
เอาอย่างนั้นก็ได้ขอรับ
คุณหลวงพาอัศวินไปฝากเนื้อฝากตัวกับท่านอาจารย์ที่เคยร่ำเรียนมาเมื่อสมัย
๘ ปีก่อนที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบฝ่ายอังกฤษซึ่งปัจจุบันย้ายมาใช้ตึกแม้นนฤมิตร์ของโรงเรียนเทพศิรินทร์เป็นการชั่วคราวเพื่อรอการก่อสร้างอาคารเรียนใหม่ของโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ
อาจารย์บางท่านที่คุณหลวงเคยร่ำเรียนด้วยก็เกษียณอายุไปแล้ว แต่บางท่านก็ยังคงอยู่
อัศวินเพิ่งจะทราบข่าวจากอาจารย์ท่านหนึ่งว่าเรื่องเข้าเรียนกลางคันนี้คุณหลวงได้จัดการล่วงหน้าไว้ให้ก่อนแล้ว
อัศวินจึ่งดูเหมือนเป็นเด็กเส้นใหญ่มหึมาที่มีคุณหลวงอัษฎาคอยหนุนหลัง แต่ใครจะไปกล้าหืออือกับคุณหลวงนั้นก็คงจะหามีไม่
อัศวินจะได้เข้าเรียนกับนักเรียนคนอื่นๆตามปกติในอีก
๓ สัปดาห์ข้างหน้าเป็นเพราะอัศวินต้องได้รับการปรับพื้นฐานเสียก่อนซึ่งหน้าที่นั้นคุณหลวงก็ได้เสนอตัวเป็นผู้ให้วิชาแก่อัศวินด้วยตัวของท่านเอง
หัวสมองที่เคยผ่านตำราเรียนเร็วมาเพียง ๓ เล่มเริ่มละม้ายคล้ายถูกทุบ
หลายวันผ่านไปที่ต้องมาร่ำเรียนกับคุณหลวงอัษฎาพาให้อัศวินทั้งท้อและเหนื่อย
แต่เพียงแค่คุณหลวงเอ่ยว่าอยากให้มาอยู่เคียงข้างกัน ช่วยเหลือกัน ประกายไฟแห่งความพากเพียรก็จุดติดอย่างง่ายดาย
คุณหลวงคือผู้มีอิทธิพลต่อดวงใจของอัศวินอย่างแท้จริง
๑
ปีต่อมา
การสำเร็จการศึกษาจากพระตำหนักสวนกุหลาบไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปเมื่ออัศวินมีคุณครูส่วนตัวเป็นถึงคุณหลวงอัษฎาผู้มีเมตตาจิตซึ่งคอยช่วยเหลือ
ดูแลอัศวินอย่างใกล้ชิดและส่งเสียให้เรียนจนจบ อัศวินจึงเลื่อนตำแหน่งจากชาวบ้านตัวดำขายถ่านธรรมดาเป็นคนสนิทของคุณหลวงในระยะเวลาเพียง
๑ ปี
“พ่อวิน วันนี้สูทสีอะไรดี”
คุณหลวงหันมาถามในขณะที่ยืนอยู่หน้ากระจก
“สีบัวโรยที่เพิ่งรับมาจากห้องเสื้อคุณโสภาเมื่อสัปดาห์ก่อนไหมขอรับคุณอัษ กระผมจำได้ว่าคุณหนูวิภาดาจากตระกูลปัทมาหล่อนไม่ชอบสีฉูดฉาด”
คุณหลวงยืนนิ่งใช้ความคิดก่อนจะเอ่ยออกมาว่า
“อย่างนั้นเราจะใส่สีหงสบาท”
“อะไรนะขอรับคุณหลวง?”
“สีหงสบาท ไปนำมาสิ เราชอบ”
“แต่สีหงสบาทนี้มันไม่…”
“ไปนำสีหงสบาทมาอัศวิน” อัษฎาย้ำ
“คุณหลวง…”
อัศวินคราง เขาเพิ่งจะบอกไปเมื่อครู่ว่าคุณหนูวิภาดาหล่อนไม่ชอบสีฉูดฉาดแต่คุณอัษฎากลับดึงดันจะใส่สูทสีหงสบาทให้ได้
นี่คุณหลวงของเขาเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?
แต่แน่ล่ะ ใครกันจะไปขัดใจคุณอัษฎาได้ กับคุณหลวงต่อให้ชี้ไม้เป็นนก
ชี้นกเป็นไม้อัศวินก็ยอมรับได้แต่โดยดี
“เป็นอย่างไร เหมาะกับเราหรือไม่พ่อวิน?”
คุณหลวงกระชับเสื้อสูทแล้วหันมาทางผู้ช่วยคนสนิท
“มะ...เหมาะมากขอรับ”
“แต่สีหน้าพ่อวินแลไม่เห็นจะเป็นเช่นนั้น”
“ไม่เลยขอรับคุณหลวง ทูนหัวของกระหม่อมจะสวมใส่สิ่งใดก็ดูดีขอรับ”
คุณหลวงอัษฎายิ้มให้กับวาจามธุรสนั้นคำชมเล็กน้อยจากอัศวินสามารถทำให้จิตใจกระชุ่มกระชวยอย่างบอกไม่ถูก
“เราพร้อมแล้ว ออกเดินทางกันเลย”
รอยยิ้มที่ฉาบริมฝีปากอิ่มของคุณหลวงอัษฎายังคงมีอิทธิพลต่อหัวใจอัศวินอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
ขอเพียงได้ชื่นชมดวงหน้าหวานทุกๆวันเช่นนี้ ต่อให้เกิดเหตุอาเพศอันใดเขาก็ไม่กลัว
“ขอรับคุณหลวง”
...
สิ่งนี้ไม่ได้เรียกว่าการคลุมถุงชน
แต่สิ่งนี้เรียกว่าการดูตัว
คุณหลวงอัษฎาแต่งองค์ทรงเครื่องสีแสบสันเพื่อนัดดูตัวกับหญิงสาวรายหนึ่งที่หม่อมอ้อมจัดหาให้เพื่อเป็นการทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายของท่านปู่อิน
แม้นเวลาจะผ่านมาบรรจบครบถึง ๑ ปีเต็มของการจากไปของท่านปู่ แต่คุณหลวงก็ยังหามีคู่ครองไม่
การนัดดูตัวนับสิบๆครั้งตลอดปีที่ผ่านมาไม่มีหญิงสาวรายใดแม้เพียงรายเดียวที่สามารถมัดใจคุณหลวงได้
และอีกครั้งที่คุณหลวงมีนัดดูตัวกับหญิงสาวรายหนึ่ง
ร้านอาหารที่หม่อมอ้อมบรรจงสรรหามาให้รสชาติและบรรยากาศดีสมคำร่ำลือแต่ที่ขาดไม่ได้คือ
คุณหนูวิภาดาคนงามจากตระกูลปัทมา หล่อนสวยสะพรั่งตามแบบฉบับของหญิงสาววัยแรกแย้ม ดวงตากลมโตชวนมอง
ผิวนวลผ่องเนียนละเอียด กิริยามารยาทเรียบร้อย แต่เสียดายที่หล่อนพูดไม่เก่งสักเท่าไหร่
สุรเสียงของหล่อนก็ออกจะไพเราะเสนาะหูหากชายใดได้ฟังคงจะตกหลุมรักหล่อนได้อย่างไม่ยาก
แต่คงมิใช่กับคุณหลวงอัษฎา
ตลอดมื้ออาหารมีเพียงการสนทนา ตอบโต้เล็กๆน้อยๆเท่านั้น
เพราะสาวเจ้าเอาแต่นั่งเงียบจ้องใบหน้าอัษฎาราวกับถูกสาป
ไม่รู้ว่าตะลึงในความงาม(ของสูทสีหงสบาท)หรือว่าความองอาจของคุณหลวงหรืออย่างไร
สรุปว่าแผนใส่สูทสีฉูดฉาดของคุณหลวงเป็นอันสัมฤทธิ์ผล
.
.
.
“เป็นอย่างไรขอรับคุณหลวง”
อัศวินเอ่ยปากถามขณะขับรถพาคุณหลวงกลับตำหนัก
“อย่างที่พ่อวินเห็นนั่นแลคอเราแห้งแทบเป็นผุยผง แม่สาวน้อยรายนี้หากเราไม่ชวนคุย
หล่อนคงมิปริปากพูดสักนิด กลัวดอกพิกุลจะร่วงหรืออย่างไร หากวิวาห์กับเราตำหนักคงเงียบเป็นเป่าสาก”
อัศวินยิ้มขำ
คุณหลวงของเขานับวันวาจายิ่งเชือดเฉือนนัก
สมแล้วที่มีดีกรีเป็นถึงบรรณาธิการหนังสือฝรั่ง อัศวินไม่ได้ซักถามสิ่งใดต่อปล่อยให้คุณหลวงพักผ่อนทอดสายตามองออกไปยังริมสองฟากฝั่งของถนนเจริญกรุง
สิบกว่าปีที่อัษฎาย้ายมาพำนักที่กรุงเทพฯ
คุณหลวงเห็นความเปลี่ยนแปลงต่างๆมากมายที่เกิดในรัชสมัยของรัชกาลที่ ๕
ทั้งการสร้างถนน การตั้งโรงเรียนสำหรับราษฎร การยกเลิกบ่าวไพร่ และอิทธิพลจากอารยธรรมตะวันตกที่เข้ามาพร้อมกับมิชชันนารี
บ้านเมืองจึงเจริญขึ้นตามลำดับ ก่อนหน้านี้การเมืองระหว่างสยามและฝรั่งเศสที่เคยตึงเครียดบัดนี้เริ่มผ่อนคลายลง
เป็นเพราะล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ทรงมีสัมพันธภาพส่วนพระองค์ที่ดีกับประมุขของประเทศมหาอำนาจอย่างเยอรมนี
สหภาพโซเวียตทำให้สยามรอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจอื่นๆ แม้เหตุการณ์บ้านเมืองจะไม่สงบนิ่งดีนัก
แต่ชาวสยามก็มิได้อัตคัดขัดสนสิ่งใด
“พ่อวิน เราประสงค์จะไปที่เรือนของพ่อวิน พ่อลำบากใจหรือไม่”
คุณหลวงเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“แต่เรือนของกระหม่อมกระจิริดเยี่ยงรูหนู คุณหลวงมีเหตุอันใดหรือขอรับ?”
“เราเพียงแต่อยากเข้าไปทำความเคารพบิดามารดาของพ่อวินเท่านั้น เราพรากบุตรท่านมาเสียนมนาน
ท่านอาจมองเราว่าเป็นเจ้านายไร้มนุษยธรรม”
“ไร้มนุษยธรรม…?”
“ก็เป็นเจ้านายที่ไร้ความห่วงใย สักแต่ใช้งานพ่อวินอย่างไรล่ะ”
“โธ่ คุณหลวง แค่เพียงส่งกระหม่อมเรียนจนจบ
เท่านี้บุญคุณของคุณหลวงที่มีก็เป็นล้นพ้นแล้วขอรับ บิดามารดาของกระหม่อมซาบซึ้งในความเมตตาของคุณหลวงมากแล้ว”
“อัศวินไม่อยากให้เราไปอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับคุณหลวง”
“ถ้าเช่นนั้นก็ขับไป นี่รถของเรา อัศวินก็เป็น (ผู้ช่วยคนสนิท) ของเรา
ทำตามที่เราบอกเถิด”
ในเมื่อคุณหลวงพูดเสียขนาดนี้แล้วอัศวินจะทำเช่นไรได้เล่านอกจาก…
“ขอรับคุณหลวง”
…
การเยี่ยมเยียนบ้านเรือนราษฎรเคยเป็นกิจของผู้ดูแลหรือผู้ปกครองนครต่างๆ
แม้คุณหลวงอัษฎาจะละทิ้งยศถาบรรดาศักดิ์นั้นไปเป็นบรรณาธิการแต่ท่านก็ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
คุณหลวงเข้าไปถามไถ่ถึงความเป็นไปของครอบครัวอัศวิน พูดคุยกันตามประสาคนธรรมดาสามัญทั่วไป
คุณหลวงไม่เคยถือตัวกับใครๆเลย ถึงแม้บางครั้งอาจจะใช้อำนาจและเอาแต่ใจกับอัศวินไปบ้าง(?)ก็ตาม
ก่อนกลับตำหนักคุณหลวงยังมอบสินน้ำใจแทนคำขอบคุณให้แก่บิดามารดาของอัศวินเพื่อเป็นค่าตอบแทนที่ยอมส่งบุตรชายไปเป็นผู้ช่วยส่วนตัวซึ่งต้องตัวติดกับอัษฎาเยี่ยงเงาจนไม่มีเวลาได้กลับมาเยี่ยมเยียนครอบครัว
ทีแรกทางนั้นเหมือนจะไม่รับแต่คุณหลวงยืนกรานจะมอบให้ได้ และก็เป็นอีกครั้งที่ไม่มีใครสามารถต้านทานความต้องการของคุณหลวงอัษฎา
“ขอบพระคุณขอรับคุณหลวงที่มีเมตตาต่อกระหม่อมถึงเพียงนี้”
“ตั้งใจทำหน้าที่ของตนไปเถิดอัศวิน พ่อวินเป็นคนดี
เราเชื่อว่าเราดูคนไม่ผิด ขอบใจที่คอยช่วยเหลือเราตลอดมาเช่นกัน”
…และขอให้อยู่เคียงข้างเราเช่นนี้ตลอดไป
“ขอรับคุณหลวง”
*สีหงสบาท = สีม่วง*